สงวนลิขสิทธิ์บทความในบล็อก

MarryBeam.com เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เนื้อหาทั้งหมดในบล็อก merrybeamcosmetics.blogspot.com แต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาติให้ผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง และใช้กับกิจการการค้าของท่าน ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อกเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน มิเช่นนั้นจะถือว่าท่านได้ทำผิด พรบ.ลิขสิทธิ์และเรามีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินการในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ได้ค่ะ

สำหรับผู้ที่พบเห็นการนำข้อความหรือรูปภาพในบล็อกนี้ไปใช้ ขอความกรุณาแจ้งกลับมาที่ rinyabhatr@gmail.com ทางเราจะมีของตอบแทนให้ตามความเหมาะสมค่ะ ขอบคุณค่ะ

Thursday, July 8, 2010

วิธีสังเกตครีมหน้าขาว (Whitening) อันตราย

เมื่อวานนี้บีมได้รับข้อมูลใหม่มาค่ะ อาจจะใหม่สำหรับบีม และอาจจะมีเพื่อน ๆ รู้แล้วก็ได้นะคะ แต่บีมถือว่า บีมยังไม่เคยเขียนเรื่องนี้ และเมื่อเ็ป็นข้อมูลเพิ่มเติมที่เ็ป็นประโยชน์ บีมก็อยากจะแชร์ค่ะ

เมื่อวานนี้บีมได้ข้อมูลทางแล็ปมาค่ะเกี่ยวกับเรื่องครีมหน้าขาว เลยอยากจะเอามาฝากกัน เพราะรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก และคนขายก็ช่างทำกันได้ลงคือ

ต้องบอกก่อนนะคะว่า บีมไม่ได้บอกว่าครีมของบีมดีที่สุด และ ดีกว่าคนอื่น ๆ มีอีกหลายยี่ห้อที่ดีกว่าบีม แต่เจตนาของบีมในวันนี้ คือ อยากให้ผู้บริโภคครีมได้ระแวดระวังให้มากกว่าเดิมในการซื้อผลิตภัณฑ์ประเภท Whitening ค่ะ

ประการแรก ครีมหน้าขาวหลายยี่ห้อ ซึ่งบางยี่ห้อเราก็คุ้นชื่อกันดี ขายเยอะแยะมากมายทั้งในอินเตอร์เน็ตและร้านค้าเครื่องสำอาง ได้ผสมสารปรอทลงไปประมาณ 8% ซึ่งถือว่าสูงมาก และยังผสมสเตียรอยด์อีกด้วย ทั้งนี้ ครีมหน้าขาวประเภทนี้ ซึ่งเมื่อเรานำมาทดสอบผลในการเปลี่ยนสีผิวแล้ว จะพบว่า
  • ครีมหน้าขาวที่ผสมปรอท หรือไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงดังกล่าว จะทำให้กระดาษสีเข้มเปลี่ยนเป็นสีอ่อนได้ใน 24 ชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่ครีมหน้าขาวที่ไม่เป็นอันตรายจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันในการเปลี่ยนสีของกระดาษนั้น
ครีมหน้าขาวและหน้าใสหลายยี่ห้อผสมสเตียรอยด์ลงไปด้วย เพราะสเตียรอยด์ให้ผลในด้านการลดผดผื่น และทำให้หน้าเรียบเร็ว ไม่ถึง 1 สัปดาห์หน้าจึงขาวใสและเรียบอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ ถ้าหากนำผลิตภัณฑ์มาตั้งทิ้งไว้สักประมาณ 1 เดือน จะเิริ่มสังเกตเห็นลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนไปดังนี้
  • ครีมจะเปลี่ยนเป็นสีเทา สีคล้ำ ๆ หรือเหมือนน้ำเน่า
  • ครีมแยกชั้น ส่วนของเหลวและเป็นน้ำจะลอยขึ้นด้านบน
  • บรรจุภัณฑ์เปื่อยและผุ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางราย นำเอาส่วนผสมที่ดีไปผสมกับสารปรอท ไฮโดรควิโนน และสเตียรอยด์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพราะ ส่วนผสม Whitening ที่มีคุณภาพอย่างเช่น Alpha-arbutin นั้น มีีราคาสูงมาก ทำให้ต้นทุนแพง ซึ่งเมื่อโจทย์ของผู้บริโภคคือ ต้องการของถูกและเห็นผลเร็ว จึงเ็ป็นช่องว่างให้ผู้ประกอบการเหล่านี้กระทำการดังกล่าว

หลาย ๆ ยี่ห้อ ส่วนผสมเอามาจากจีนทั้งหมด ทำในจีน และนำเข้าจากจีน แต่เขียนฉลากติดว่า Made in USA ก็มีค่ะ

และยังมีอีกตัวที่ต้องระวังคือ ครีมกวนมือ ซึ่งเป็นครีมที่ผู้ประกอบการซื้อครีมจากแหล่งต่าง ๆ แล้วนำมาผสมเอง โดยไม่ได้ควบคุมคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญและไม่ได้ทำในห้องแล็ปคุณภาพ ซึ่งสิ่งที่มักจะสังเกตเห็นได้คือ เมื่อทิ้งไว้นานสัก 1 เดือน ครีมจะแยกน้ำแยกเนื้อ และบรรจุภัณฑ์สีเปลี่ยนหรือผุกร่อน

ครีมเหล่านี้ ต้นทุนจะถูกมาก แต่ขายแพงมาก และคนขายไม่กล้าใช้เอง เพราะรู้ว่าในนั้นมีอะไรและเป็นอย่างไร

ที่เขาจะต้องขายถูก เพราะของจะเสื่อมเร็ว จึงต้องรีบขายออกไปเร็ว ราคาจึงเป็นจุดสำคัญที่จะทำให้ระบายของได้เร็วนั่นเอง

ดังนั้น เวลาซื้อครีม ลองถามคนขายด้วยคำถามต่อไปนี้ค่ะ
  • ใช้เองมั้ยคะ (จะรู้ได้เวลาที่เค้าอธิบายวิธีใช้ค่ะ ลองแย่บ ๆ เอาออกมาสักชุดที่เค้าว่าดี หรือถามรายตัวที่เราสนใจ และดูว่าเค้าอธิบายอย่างไร วกไปวนมามั้ย ดูเลื่อนลอยมั้ย ตอบตรงคำถามเรารึเปล่า)
  • ผลิตที่ไหน (ผลิตที่ไหนนี่ ส่วนใหญ่จะวัดอะไรไ่่ม่ค่อยได้ค่ะ เพราะ เท่าที่บีมเห็นข่าว แล็ปหรือโรงงานบางแห่งก็ถูกจับหลังจากที่ผลิตออกมาจำหน่ายแล้ว แต่ก็ดูความยินดีของคนขายว่ายอมให้ตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใดค่ะ)
  • เก็บไว้ได้นานเท่าไหร่ (ครีมดี ๆ จะเก็บไว้ได้หลายปี ไม่ใช่เป็นเดือน หมายถึงตอนยังไม่แกะบรรจุภัณฑ์นะคะ อย่างของบีมนี่ 4 ปี แต่ถ้าเป็นครีมที่มีวิตซีหรือสารที่สลายง่าย ก็ไม่ควรเก็บไว้นานเป็นปี เพราะทุกครั้งที่เราเปิดใช้ สารจะสลายไปเรื่อย ๆ ทำให้ประสิทธิภาพลดลง ยกเว้นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นรูปแบบกด แบบนั้นจะใช้ได้นานหน่อยค่ะ แต่ก็ไ่ม่ควรข้ามปีอยู่ดี)
สิ่งที่บีมจะบอกอีกข้อหนึ่งก็คือ ฉลากไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มันสามารถใช้สืบสาวหาแหล่งที่มาได้เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ

ดังนั้น คุณไม่ควรเอาฉลากเป็นที่ตั้งค่ะ ควรจะพิจารณาหลาย ๆ อย่างประกอบกันและดูว่าเค้ายินยอมพร้อมให้คุณตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใด บริสุทธิ์ใจเพียงใด

แต่ที่จริงที่สุดเลยก็คือ ถ้าของไม่ดี คนขายจะไม่ใช้เองค่ะ เพราะคนขายคือคนที่รู้ดีที่สุดว่า ของที่ตัวเองเอมาขายนั้นเป็นอย่างไร...

No comments:

Post a Comment