สงวนลิขสิทธิ์บทความในบล็อก

MarryBeam.com เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เนื้อหาทั้งหมดในบล็อก merrybeamcosmetics.blogspot.com แต่เพียงผู้เดียว ไม่อนุญาติให้ผู้ใดนำไปคัดลอก ดัดแปลง และใช้กับกิจการการค้าของท่าน ยกเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อกเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน มิเช่นนั้นจะถือว่าท่านได้ทำผิด พรบ.ลิขสิทธิ์และเรามีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินการในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ได้ค่ะ

สำหรับผู้ที่พบเห็นการนำข้อความหรือรูปภาพในบล็อกนี้ไปใช้ ขอความกรุณาแจ้งกลับมาที่ rinyabhatr@gmail.com ทางเราจะมีของตอบแทนให้ตามความเหมาะสมค่ะ ขอบคุณค่ะ

Tuesday, June 29, 2010

ชี้แจงประเด็นเลขทะเบียนข้างฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

จากประเด็นข่าวหลาย ๆ ครั้งเกี่ยวกับอันตรายจากสินค้าที่สั่งซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต ณ วินาทีที่บีมได้้ยินข่าว บีมก็เข้าใจลูกค้าทุกครั้งค่ะ ว่าความไม่มั่นใจ ความกังวลจากการบริโภคสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตนั้นมีแน่นอน

และก็เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ เพราะ ทุกครั้งที่มีข่าวแต่ละครั้ง อย. จับอะไรต่อมิอะไรแต่ละรอบ ก็จะมีคำถามจากลูกค้าเสมอ ๆ ว่าของบีมนั้นเป็นอย่างไร อะไร อย่างไร

บีมจึงขอนำประเด็นนี้มาชี้แจงที่บล็อกครั้งเดียวนะคะ เพื่อเ็ป็นข้อมูลให้ทุกท่านได้พิจารณา ไม่ว่าจะเ็ป็นลูกค้าประจำ หรือลูกค้าใหม่ หรือผู้ที่สนใจกำลังจะตัดสินใจซื้อใช้

และีแม้บีมจะพอทราบข้อมูลวงในมาพอสมควร แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรค่ะ เพียงแต่รู้ตื้นลึกหนาบางกว่าก่อนที่จะเข้ามาจำหน่ายสินค้าทำนองนี้ บีมก็จะไม่โจมตีผู้อื่นที่เค้าอาจจะทำอะไรไม่ถูกต้อง บีมจะไม่แฉ ไม่อะไรทั้งสิ้น บีมคิดว่าเค้าก็คงรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เค้าทำนั้นมันเป็นอย่างไรค่ะ บีมก็ยังเชื่ออยู่ว่า กรรมมันมีจริง

ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นทั้งเข่ง

บีมเองก็ได้รับผลกระทบจากการที่ผู้ประกอบการที่ไม่มีศีลธรรมและจรรยาบรรณก่อขึ้น บีมขายของอยู่ดี ๆ วันดีคืนดี คนกลุ่มนี้โดนจับ บีมก็โดนหางเลขในเรื่องของความไม่เชื่อใจของสินค้าที่จำหน่ายผ่านอินเตอร์เน็ตไปอีก แต่เราไม่ว่ากันค่ะ คนเรามันมีดีไม่ดีปนกันไป ใครทำไงก็ได้ไปอย่างนั้น บีมเองก็ต้องอาศัยความอดทนที่จะก้าวผ่่านจุดเปราะบางนี้ไปให้ได้ ก็ต้องใจเย็นน่ะค่ะ เนอะ...ทำอย่างไรได้

สำหรับวันนี้บีมมาชี้แจงเรื่องเลขทะเบียนนิดนึงค่ะ

เลขที่ติดอยู่ข้างฉลากอาหารเสริม ล็อตหลังนี้จะใช้เลขเดียวกัน และมี 12 หลัก เป็นเลข สธ. (สาธารณสุข)

ที่ไม่ใช่เลข อย. เพราะ ผลิตภัณฑ์ในล็อตของบีมนั้น ปกติจะเป็นแพทย์และสปาจัดจำหน่ายค่ะ แต่บีมพ่วงมา จึงระุบุเลข สธ. ตามล็อตของแพทย์ค่ะ

ก่อนจะมาถึงมือบีม ทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน กฎหมายรองรับถูกต้อง ตรวจสอบได้ โปร่งใสค่ะ

ถ้าหากคุณไม่เชื่อ คุณสามารถถือกระปุกอาหารเสริมนี้เข้าไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือโทรเข้าไป แล้วแจ้งเลข สธ. นี้ให้เค้าค่ะ แล้วให้เค้าตรวจสอบให้คุณ

เลขที่ว่านี้คือ 104-08423-7-008 ค่ะ

และสุดท้ายนี้ก็คือขอบอกความในใจว่า บีมค่อนข้างเหนื่อยใจกับประเด็นนี้ค่ะ คือ ในวงการนี้ คนที่เค้าคิดเอาแต่กำไร ไม่สนใจว่าลูกค้าหรือผู้บริโภคจะเ็ป็นยังไงมันเยอะมากมายค่ะ และคนกลุ่มนี้ก็จะสร้างปัญหาได้ตลอดเวลา...คือ บีมไม่ได้ว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีนะคะ แต่บีมมีจรรยาบรรณและศีลธรรมมากพอที่จะไม่เบียดเบียนชีวิตของใคร และถ้าของบีมมันไม่ดีจริง บีมไ่ม่กล้าใช้เองหรอกค่ะ และคงขายมาไม่ได้ถึงป่านนี้

นอกจากนี้ บีมอยากให้ผู้บริโภคเข้าใจนิดนึงค่ะว่า ในทางการค้านั้น คนที่เค้าจ้องเขม่นบีมก็มี เพราะเห็นว่าเราขายดี เราดูแลลูกค้าดี ยอดเค้าตกบ้าง อะไรบ้าง แต่บีมก็ไ่ม่เคยใส่ใจตรงนั้นนะคะ ไม่ได้แก้แค้นอะไรกลับไป เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น บีมเชื่อเสมอว่า ใครทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้นแหละค่ะ

บีมมีหน้าที่ดูแลลูกค้าให้เค้าได้รับสิ่งที่น่าพอใจที่สุด ก็เท่านั้น ขายทุกวันนี้ก็ไม่ได้อะไรมากมายหรอกค่ะ คนอื่นเค้าได้กว่าบีมหลายเท่า แต่บีมได้ความสุขใจถ้าลูกค้าใช้แล้ว happy และผิวดีขึ้นเหมือนที่บีมได้รับ ก็เท่านั้น

คือ นี่เป็นความในใจจริง ๆ มีอีกหลายสิ่งที่บีมบอกคุณไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าบีมมีอะไรปิดบัง ลึกลับซับซ้อน แต่ว่าขอให้คุณเข้าใจว่า บีมจริงใจต่อคุณ แต่บีมต้องระวังตัวเองจากผู้ประกอบการที่ไม่หวังดีต่อบีมด้วยเช่นกันค่ะ บีมไม่สามารถให้ข้อมูลทุกอย่างที่นี่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าบีมไม่จริงใจค่ะ

ถ้าคุณไม่เชื่อใจตรงนี้ บีมก็ไม่ซีเรียสนะคะ คุณสามารถใช้อะไรก็ได้ตามที่คุณสบายใจจะดีกว่าค่ะ อะไรที่ว่าดี อะไรที่ว่าพอใจ เลือกตามสบายคะ เพราะนั่นคือสิทธิของผู้บริโภคค่ะ บีมไม่เคยซีเรียสตรงนี้ เพราะ รู้ว่า เราก็เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในทางเลือกหลายพันทางเลือกสำหรับลูกค้า และไม่จำเป็นว่าทุกคนจะต้องมาชอบเราหรือของของเรา แต่ถ้าใช้ดี บีมก็มีความสุข ก็เท่านั้นเอง

หากมีข้อสงสัยตรงไหนก็ถามได้เสมอนะคะ เข้าใจลูกค้าค่ะ เพราะบีมเองก็เคยเ็ป็นลูกค้ามาก่อนเหมือนกัน...

ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจค่ะ

Saturday, June 26, 2010

หลักพื้นฐานที่ควรปฏิบัติเพื่อผิวสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

เพื่อน ๆ เคยสงสัยมั้ยคะว่า ทำไมบีมถึงชอบใช้คำว่า "ยั่งยืน" หรือ Sustainable

บีมชอบคำว่า "ยั่งยืน" และชอบใช้คำนี้ และคำ ๆ นี้ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในปรัชญาการดำรงชีวิตของบีมไปแล้วค่ะ ในทุก ๆ เรื่อง

คำว่ายั่งยืน ไม่ว่าคนอื่นจะแปลความหมายว่าอย่างไร แต่สำหรับบีมแล้ว คำว่ายั่งยืนหมายถึง ความต่อเนื่อง ความสมดุล ความพอเหมาะ ความพอดี และพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ฝืนธรรมชาติ

ยกตัวอย่างคำว่า ยั่งยืน ในบริบทอื่น เช่น การเรียนหนังสือ

บีมเคยมีวิถีชีวิตแบบ "ไม่ยั่งยืน" มาก่อน รวมทั้งการเรียนหนังสือค่ะ

จำได้ว่า ตอนเรียนนั้น บีมไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นสักเท่าไหร่ค่ะ เรียนอย่างเดียว เราจะรู้สึกแปลกแยก และเหงา ๆ มีเพื่อนแต่เหมือนไม่มีนะคะ ทั้งที่เพื่อน ๆ ก็แสนดีกับเรา แต่เราเป็นคนชอบขังตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัว

คิดอยู่แต่ว่า จะเรียนให้ชนะคนอื่นต้องทำยังไง

กลับมาตอนเย็น ก็ไม่ไปเล่นที่ไหนนะคะ นั่งอ่านหนังสือตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืนทุกวัน ชีวิตแบบนี้เริ่มตอน ม.5 มั้งคะ บางวันก็ถึงตี 2

คือ มีแต่เรียนกับเรียน

ในที่สุด ก็ประสบความสำเร็จในการเรียน แต่อย่างอื่นในชีวิต คือ
  1. ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว (ติดลบอย่างแรง)
  2. สุขภาพ (ภูมิแพ้หนักขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหากระเพาะ-ลำไส้ที่หนักขึ้น ความเครียด)
  3. ผิวพรรณ (ไม่มีเค้าผิวเด็กอายุวัยทีนเลย ถ้าไม่หาหมอหน้าจะโทรมมาก ๆ)
  4. การมองโลก (ติดลบมาก)
  5. ฯลฯ
อย่างอื่นล่มหมดเลยค่ะ ชีวิตไม่มีความสุขเลย

ชีวิตแบบนี้ จึงเรียกว่า ไม่สมดุล ไม่พอเหมาะ ไม่พอดี จึงไม่ยั่งยืน เราจึงดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อไปไม่ได้

เมื่อมาพูดเรื่องสิว ฝ้า และผิวพรรณ วิถีทางที่ยั่งยืน หรือ สายกลางนั้น มันมีอยู่เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต

มันจะมีทางหนึ่งที่สมดุลและเราสามารถดำเนินวิถีทางนั้นต่อไปได้โดยที่ เราพอใจ เราสุขใจ และผลลัพธ์ก็ออกมาน่าพอใจอยู่เสมอ ๆ

ที่ผ่านมา บีมเคยหาหมอใช่มั้ยคะ บีมไม่โจมตีนะคะว่าการไปรักษาที่คลินิกนั้นไม่ดี เพียงแต่ว่า สิ่งที่บีมได้รับมันไม่น่าพอใจสำหรับบีมเท่านั้นเองค่ะ เพราะบีมไม่ชอบทายารักษาสิว กลิ่นมันเหม็นและทำให้หน้าที่แม้จะเรียบแต่รูขุมขนจะกว้างและมันเร็วมาก จะเลิกยาก็ไม่ได้ จะใช้เครื่องสำอางอื่นบำรุงก็กลัวว่าสิวจะขึ้นอีก ตากแดดก็ดำเร็ว กินยาก็มีปัญหากระเพาะลำไส้ ปัญหาตาแห้ง ภูมิแพ้ขึ้น ผมร่วง ไขมันในเลือดสูง บีมไม่ชอบน่ะค่ะ ก็ไม่อยากกลับไป อยากจะหลุดออกมา แต่ถ้าใครเจอคลินิกที่ดี เจอหนทางที่ตัวเองพอใจ ก็ดีแล้วค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและทัศนคติของแต่ละคน แต่ขอให้เข้าใจค่ะว่า บีมไม่มีเจตนาโจมตีคลินิกต่าง ๆ ค่ะ มันเป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวที่บีมไม่ชอบไปหาหมอ

สมัยนี้ก็มีคลินิกขึ้นมามากมาย วิธีรักษาก็มากมาย เลเซอร์เอย อะไรเอย ที่บีมยังไม่เคยลองก็มีมาก แต่ก็คิดว่าตอนนี้เราไม่ต้องไปทำอะไรแบบนั้นแล้ว บีมพอใจผิวที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ของบีมแล้ว ก็รอดูหลังจากคลอดน้องว่า ผิวของเราจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ฮอร์โมนสูงและความเปลี่ยนแปลงก็สูงค่ะ จึงกำหนดควบคุมอะไรไม่ได้ และบีมก็ไม่อดอาหาร คือ กินปกติไปเลย เพราะกลัวลูกจะได้รับสารอาหารไม่ครบ ซึ่งผิวหน้าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็พอใจแล้วค่ะ ก็ประคองกันไปแบบนี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่

จากความรู้สึกที่ว่า ผลลัพธ์จากการหาหมอมันไม่ยั่งยืน และมันทำให้เราพึ่งตัวเองไม่ได้สักที และต้องเสียเงินไปเรื่อย ๆ แบบไร้จุดหมาย ประกอบกับสถานการณ์เมื่อปีที่แล้วที่ทำให้บีมต้องอยู่บ้าน และไปหาหมอยาก เดินทางยาก ก็คิดว่าต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ต้องรักษาสิวให้หายด้วยตัวเองให้ได้ ก็ค้นพบว่า วิถีที่ยั่งยืนนั้นคืออะไร

เพื่อน ๆที่มีเวลาสามารถอ่านเนื้อหาในบล็อก "ปฏิวัติความคิดพิชิตสิว" ของบีมได้ค่ะ บีมเริ่มเขียนบล็อกเพื่อให้เป็นไดอารี่ของตัวเองในการรักษาสิวตามแนวทางของตัวเองที่ต้องพึ่งธรรมชาติเป็นหลัก และมีความรู้อื่น ๆ ที่บีมได้มาจากการค้นคว้าแล้วนำมาเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ อ่านกัน

และต่อมา บีมคิดว่าเนื้อหาในบล็อกค่อนข้างเยอะ หลาย ๆ คนไม่สะดวกอ่านจากอินเตอร์เน็ต บีมจึงทำหนังสือ Acne (First) Aid โดยลงทุนพิมพ์เองและจำหน่ายผ่านบล็อกเท่านั้นค่ะ เป็นการรวบยอดประเด็นสำคัญ ๆ ในบล็อก และเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ปฏิบัติได้เลยหลังจากที่อ่านจบ ที่บีมทำก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้เพื่อน ๆ ที่ต้องการจะเข้าใจแนวทางที่บีมทำแต่ไม่สะดวกอ่านบล็อกค่ะ

ซึ่ง ณ ตอนนี้ มันก็ยังคงมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมายไม่รู้จบ แต่จากประสบการณ์ทดลองของตัวเอง จากของเพื่อน ๆ ที่อัพเดทกันเข้ามา บีมขอบอกว่า การจะมีผิวที่แข็งแรงขึ้นอย่างยั่งยืนได้นั้น โดยสรุปควรจะต้องมีสิ่งต่อไปนี้ค่ะ

  • ความอดทนและใจเย็น (ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักรค่ะ เป็นชุมชนของเซลล์เป็นพันล้านเซลล์ การปรับจำเป็นต้องอาศัยเวลา เพราะเซลล์ของร่างกายแต่ละส่วนก็จะมีอัตราการเกิด-ตายไม่เท่ากัน และในแต่ละคนก็มีต้นทุนทางกรรมพันธุ์ที่แตกต่างกัน บางคนก็ได้ผลเร็ว บางคนก็ได้ผลช้า)
  • ความช่างสังเกตและเป็นนักวิทยาศาสตร์ (จะได้ตรวจสอบ ปรับปรุงวิธีการของตัวเองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอวิถีที่ตนพอใจและใช้ได้กับตัวเอง)
  • ความคิดริเริ่ม (เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง เพราะสภาพร่างกายและผิวแต่ละคนแตกต่างกัน)
แนวคิดที่ควรมี คือ ผิวที่ดีนั้น แท้จริงแล้วเริ่มจากภายใน อวัยวะภายในจะสะท้อนออกมาที่ภายนอกเสมอ ๆ แต่บางคนก็มีกรรมพันธุ์ที่ดี มีต้นทุนดี ผิวพรรณแข็งแรง จึงไม่ค่อยเป็นอะไรง่าย ๆ

แต่ก็มีหลายท่าน ที่เคยโทรเข้ามาปรึกษา ซึ่งแต่ก่อน ผิวไม่เป็นอะไรเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไป หรือได้ไปทำอะไรกับผิว ก็ทำให้มีปัญหาในภายหลังได้เช่นกันค่ะ

อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอนค่ะ

แม้คนผิวไม่เป็นอะไร แต่ถ้าสังเกตดี ๆ เค้าอาจจะมีอาการซีด ตาบวมช้ำ หรืออาการผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ ที่เรามองไม่เห็น

ดังนั้น อย่าไปอิจฉาใครเลยนะคะ แต่ละคนก็ล้วนแต่มีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น

คนที่อาการแสดงออกมาที่ผิวนั้นได้เปรียบมากกว่าเพราะ จะได้เริ่มปรับตัวตั้งแต่เริ่มแรกของอาการ

บางคนเป็นสิว เพราะ ท้องผูก ถ้าสิวไม่ขึ้น ก็ปล่อยให้ท้องผูกไปเรื่อย ๆ คิดว่าไม่เป็นไร ในที่สุดก็อาจจะมาได้ยินจากปากคุณหมอว่า เป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว

ส่วนคนเป็นสิว ถ้าแก้ที่อาการท้องผูก สิวก็อาจหายไปได้แล้วค่ะ ได้ประโยชน์สองต่อ คือ สิวหาย และ ลำไส้ก็สุขภาพดี

ความยั่งยืนที่บีมหมายถึง ณ ที่นี้ ที่อยากชี้ให้เห็นคือ นอกจากอาหารเสริมและ skin care ที่เพื่อน ๆ อาจจะกำลังตัดสินใจที่จะใช้ แม้มันจะสามารถให้ผลดีตามที่เพื่อน ๆ ต้องการ

แต่บีมไม่อยากให้เพื่อน ๆ ละเลยการดูแลเอาใจใส่ร่างกายทั้งระบบค่ะ เพราะนั่นคือการทำให้ผิวดีอย่างยั่งยืนจริง ๆ

เพราะแม้ในปัจจุบันนี้ บีมจะมาใช้เครื่องสำอาง 100% แต่บีมก็ไม่ละเลยที่จะดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ตื่นก่อน 7 โมงและถ่ายก่อน 7 โมง ทานผักผลไม้อยู่เสมอไม่ปล่อยให้ของเสียคั่งค้าง ระบายความเครียด ทำให้สุขภาพจิตดี อยู่กับธรรมชาติ และไม่ทานแป้งขัดขาวเยอะ ไม่ทานของผัด มัน ทอด เยอะ (การทาน 5 หมู่ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกินคาร์โบฯ กับ ไขมัน เยอะขึ้นใช่มั้ยคะ ^^) และบีมก็ยังไม่ทานนมวัวอยู่ดี ทานนมถั่วเหลืองและโปรตีนจากแหล่งอื่นแทนค่ะ

ถ้าเพื่อน ๆ จะถามว่า ต้องกินอาหารเสริมนี้ไปนานเท่าไหร่ บีมก็ขอตอบว่า จนกว่าเพื่อน ๆ จะสามารถปรับระบบร่างกายให้สมดุลได้ ให้ระบบภูมิคุ้มกันเค้าทำงานเองได้ และวิธีต่าง ๆ หรือแนวคิดบีมก็เขียนไว้ใน "ปฏิวัติความคิด พิชิตสิว" แล้วค่ะ

แต่ถ้าเพื่อน ๆ ยุ่งมาก ๆ ชีวิตไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลตัวเอง ขอให้ทำได้สัก 30-50% จากบล็อกก็พอค่ะ

โดยประเด็นสำคัญที่อยากให้ทำจนติดเป็นนิสัยคือ
  • นอนก่อน 5 ทุ่ม (เพื่อให้ตับแข็งแรง เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดอาการติดเชื้อ อักเสบ หน้ามันในระยะยาวค่ะ)
  • ถ่ายให้สุดก่อน 7 โมงเช้า
  • ทานอาหารเช้าทุกวันให้อิ่ม (อาหารจริง ๆนะคะ ส่วนกาแฟ ยกไปเวลาอื่นเถอะค่ะ อย่าดื่มตอนเช้าเลย) อาหารเช้าสำคัญที่สุด และพยายามทานสิ่งที่มีประโยชน์ให้มากที่สุด
  • มื้อว่างเปลี่ยนจากขนมนมเนยที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นผลไม้สดที่ไม่หวานและมีไฟเบอร์เยอะ ๆ แทน หรือทานธัญพืชที่มีเส้นใยสูงค่ะ
  • ถ้าไม่สามารถทานผักสดได้วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ควรทานอาหารเสริมที่เป็นไฟโตนิวเทรียนส์และวิตามินรวมหรือวิตามินบีรวมด้วยค่ะ
  • ออกกำลังกายให้เลือดลมหมุนเวียนทุกวัน วันละ 15 นาที หรือ 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีค่ะ
  • ระบายความเครียดให้ได้ทุกวัน โดยการเดินในที่ที่มีอากาศดี ๆ เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ นั่งสมาธิ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์กับเพื่อน ๆ (ไม่นินทาว่าร้ายใครนะคะ ^^)
ทำแบบนี้ให้เป็นนิสัยนะคะ เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกาย "อย่างยั่งยืน" จะได้ลดค่าใช้จ่ายด้าน skin care อาหารเสริม และยารักษาโรคในระยะยาวค่ะ เพราะ เรามีอย่างอื่นให้ enjoy อีกเยอะค่ะ อย่ามาเสียเงินกับเสียเวลาและเสียกำลังใจกับเรื่องผิวเยอะเลยค่ะ ชีวิตมันสั้นเกินกว่าจะมาเครียดแต่เรื่องผิวนะคะ ^^

เอาใจช่วยค่ะ

Thursday, June 24, 2010

ปัจจัยสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาเมื่อจะเลือกใช้ Skin Care

ก่อนจะตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ใด ๆ เราจำเ็ป็นต้องสำรวจ 3 อย่างด้วยกันค่ะ คือ
  1. ด้านจิตใจ - ผลลัพธ์ที่เราคาดหวังต่อผลิตภัณฑ์ และระดับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้
  2. ด้านกายภาำพ - สภาพผิวปัจจุบันของเรา และประวัติการดูแลผิวของเรา
  3. ด้านงบประมาณการเงิน
3 ปัจจัยนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการประเมินว่าคุณจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อะไร และจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแผนการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

ในด้านจิตใจนั้น แต่ละคนมีความหลังฝังใจต่อผลิตภัณฑ์ skin care ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป บางคนใช้อะไรก็ได้ ไม่มีปัญหา บางคนแพ้จนเข็ดขยาด ซึ่งตรงนี้ เดี๋ยวจะสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่จะแนะนำให้ตามระดับความเสี่ยงหรือสภาพจิตใจที่คุณจะสามารถรับได้นะคะ โปรดติดตามต่อ

ด้านกายภาพ คือ ผิวของเรา ด้วยสภาพผิวของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป ผิวที่เคยผ่านอะไรต่อมิอะไรมามาก ย่อมมีสภาพความเสียหายเรื้อรังและมากกว่าผิวที่ไม่ค่อยได้สัมผัสกับอะไรมากมายค่ะ สภาพผิวจะสัมพันธ์กับด้านจิตใจของคุณ ซึ่งคุณจำเป็นจะต้องยอมรับความจริงว่า การฟื้นฟูผิวเสียให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืนนั้น ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นๆ และในกระบวนการที่่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองนั้น มักจะมีอาการบางอย่างไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาการที่ว่า ที่หลายคนกลัวก็คือ สิวขึ้น

แต่ข้อสังเกตก็คือ ถ้าสิวขึ้นแล้วลงภายในระยะเวลาไม่นาน เช่น ไม่เกิน 2 สัปดาห์ แสดงว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดีของการซ่อมบำรุงผิวของร่างกาย แต่ถ้าหาก 2 สัปดาห์แล้ว สิวยังไม่มีทีท่าว่าจะหายและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ควรพิจารณาผลิตภัณฑ์นั้นอีกครั้งหนึ่งค่ะ

ด้านงบประมาณ การควบคุมงบประมาณด้านการดูแลผิวนั้น เป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ค่ะ หากคุณมีแผนการดูแลผิวที่ชัดเจน มีการหาข้อมูลว่าจะเลือกวิธีใดในการดูแลผิวของคุณก่อน แล้วตัดสินใจ กำหนด timeline และระยะเวลาให้ัชัดเจนว่า คุณจะใช้วิธีนั้นนานเท่าไหร่จึงจะสามารถวัดผลได้ คุณไม่ควรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป เพราะคุณจะรู้สึกสูญเสียการควบคุมและส่งผลถึงการขาดความมั่นใจในตัวเองในที่สุด (ผลทางจิตวิทยา)

สิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณคือ
  • มีสติและอย่าใจร้อน
  • ศึกษาข้อมูลทุกอย่างให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง
  • กำหนดกรอบเวลาชัดเจนเพื่อกำหนดงบประมาณและผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  • ตั้งความคาดหวังให้ตรงกับความเป็นจริง
ขอให้คุณโชคดีในการตัดสินใจใด ๆ ก็ตามค่ะ ^^

Wednesday, June 23, 2010

การลดความเสี่ยงจากการทดลองใช้เครื่องสำอางยี่ห้อใหม่ ๆ

ค่ะ หลังจากที่ได้เขียนเกี่ยวกับว่า ใช้ผลิตภัณฑ์ทำไมสิวขึ้นหรือหน้าลอกไปเมื่อวาน ก็รู้สึกว่า ลูกค้าหรือผู้สนใจอาจจะรู้สึกกลัวว่า มันจะเหมือนกับอะไร ๆ ที่เคยใช้มารึเปล่านะคะ

บีมมาชี้แจงต่ออีกนิดนึงค่ะว่า ผลิตภัณฑ์ของเราจะแบ่งได้เป็น
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า
  • กลุ่มบำรุงผิวพื้นฐาน
  • กลุ่มผิวขาวใสและฝ้า กระ
  • กลุ่มกันแดด
  • กลุ่มสลายไขมันและเซลลูไลท์
  • กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัว
  • กลุ่มอาหารเสริม
หรือแบ่งอีกแบบหนึ่งจะได้เป็น
  • กลุ่มล้างพิษผิว
  • กลุ่มรักษาสิว
  • กลุ่มรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยสิว
  • กลุ่ม Body
ซึ่งการจับกลุ่มแบบหลังนี้ บีมจะนำเอาอาหารเสริมกับผลิตภัณฑ์ที่มุ่งการรักษาเฉพาะปัญหาที่ลูกค้าต้องการมาไว้ด้วยกันค่ะ โดยอิงจากข้อมูลที่ได้รับจากหลายแหล่ง รวมไปถึงเคสลูกค้าหรือผู้ใช้ที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ หรือได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหลังจากที่ได้ใช้ และัยังเป็นการประมวลจากความรู้ของบีมตั้งแต่เมื่อยังดูแลตัวเองแนวธรรมชาติบำบัด 100% ใช้แต่สบู่และของธรรมชาติทั้งหมด จนกระทั่งมาใช้เครื่องสำอางและอาหารเสริมแบบผสมผสานกับหลักการดูแลสุขภาพดั้งเดิมของตัวเอง

บีมไม่ได้จับกลุ่มตามแบบใคร แต่จับให้ตามวัตถุประสงค์ของการใช้ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทจริง ๆ ซึ่งเป็นการจับกลุ่มโดยมีลักษณะเฉพาะที่กลั่นกรองมาจากความรู้และการสังเกตของบีมเองค่ะ

คราวนี้ บีมขอชี้แจงว่า การจะใช้อะไรกับใบหน้า ถือเป็น Risk หรือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง

ความเสี่ยงในทางการลงทุน หมายถึง โอกาสที่จะได้ เสีย หรือเท่ากับที่ลงทุนไปครั้งแรกนั่นเอง

ถ้าจะถามบีมว่า การที่จะตัดสินใจมาซื้อเครื่องสำอางยี่ห้อใหม่ใ้ช้ (ไม่ว่าจะยี่ห้อใด ๆ ก็ตาม) ความเสี่ยงมีดังนี้ค่ะ
  • โอกาส ได้ เสีย เท่าทุน มีแน่นอน และมีเท่า ๆ กัน
  • เสี่ยงว่ามันจะเข้ากับผิวเรามั้ย
  • เสี่ยงว่ามันจะทำให้แพ้หรือไม่
  • เสี่ยงว่าการตอบสนองของผิวจะไปในทิศทางใด
ซึ่งการที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนั้นหรือกระทั่งควบคุมความเสี่ยงให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้ ในทางการลงทุนในตลาดหุ้นหรืออื่น ๆ คือ การศึกษาหาความรู้ในสิ่งนั้นเิพิ่มเติม

ยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวนะคะ

ขับรถยนต์ออกจากบ้าน ก็เสี่ยงแล้วค่ะ คือ 1. รถชน 2. รอดปลอดภัย

แต่สิ่งที่เราทำได้เพื่อลดอุบัติเหตุและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเราก็คือ
  • รู้จักกลไกของรถ
  • มีความรู้เรื่องกฎจราจร
  • มีทักษะในการขับรถ
  • มีทักษะในการตัดสินใจ
  • มีสายตาที่ดี ไม่สั้น ไม่ยาว
  • มีสติขณะขับรถ
แต่ถ้าถามว่า จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมั้ย มีค่ะ แต่น้อยมาก ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้

เรื่องการใช้เครื่องสำอางก็เหมือนกัน บีมพูดรวม ๆ นะคะ ไม่ได้เชียร์เครื่องสำอางของตัวเอง คือ บีมอยากให้ทุกคนสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้ ไม่โทษว่า ผิวอย่างเรา จะไปใช้อะไรไ้ด้ ใช้อะไรก็ไม่เห็นดีขึ้น ใช้อะไรก็ดูหมดหวัง มีแต่ต้องลองไปเรื่อย ๆ

ลองปรับเปลี่ยนตัวเองก่อนนะคะ ให้เป็นคนขับรถที่ดี คือ เตรียมพร้อมในหลาย ๆ อย่างเพื่อลดความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเราให้มากที่สุด โดยมีแต่ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะทราบตรงนี้ค่ะ ไม่มีใครรู้จักตัวคุณดีเท่ากับคุณเอง และแม้บีมจะให้คำปรึกษาและแนะนำได้ แต่อย่าลืมนะคะว่า เราสื่อสารแบบไม่เห็นหน้ากัน แต่บีมพอจะประมวลจากข้อมูลที่ได้ัรับมาจากคุณอีกทีแ้ล้วแนะนำออกไปค่ะ มันอาจจะไม่ 100%

บีมชื่นชมลูกค้าและเพื่อน ๆ หลายท่านนะคะ ที่พยายามสังเกตและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน

ค่ะ การลดความเสี่ยงหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องสำอาง คือ
  • รู้จักสภาพผิวหน้าของตัวเองก่อน สำรวจว่าเคยใช้อะไรมาก่อนบ้าง สภาพปัจจุบันเป็นเช่นไร
  • ต้องการแก้ไขในจุดใด
  • ดูข้อมูลหลาย ๆ แหล่งเกี่ยวกับการรักษาผิว ณ จุดนั้น (อันนี้ขอให้ศึกษาจริงจังเลยค่ะ เอาให้ชัด เอาให้รู้จริง จะได้เป็นแหล่งข้อมูล
  • ลองเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในแต่ละวิธีที่ใช้รักษา
  • เมื่อมั่นใจแล้วเลือกก็วิธีนั้น
  • ให้เวลากับวิธีนั้น ๆ อย่างเต็มที่ประมาณ 1-3 เดือนเพื่อดูผลลัพธ์เบื้องต้นเมื่อทำเต็มที่
ไม่ว่าจะทำอะไร การศึกษาข้อมูลจากทั้งหนังสือ ผู้รู้ หรือแหล่งต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือได้เ็ป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกค่ะ

ใช้แล้วสังเกต ปรับปรุงให้ดีขึ้น เป็นวิถีทางในการพัฒนาทุกสิ่งรวมถึงใบหน้า

บีมเองไม่มีจุดมุ่งหมายให้ใครต้องมาเชื่อบีม 100% นะคะ เพราะ ความเชื่อใจเป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้

แต่สิ่งที่บีมรู้ก็คือ บีมให้ข้อมูลที่ไม่บิดเบือนกับทุกคนที่สนใจผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์ที่บีมใช้มันเป็นแบบนี้ก็คือแบบนี้ ผลลัพธ์ที่ลูกค้าใช้เป็นแบบนี้ก็บอกไปแบบนี้ค่ะ

บีมรู้ตัวว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง และผลิตภัณฑ์ของบีมก็คัดสรรมาดีแล้วค่ะ

และอย่างหนึ่งก็คือ ลูกค้าของบีมหลายท่านงานยุ่งค่ะ และหลายท่านก็ไม่ได้เล่นเน็ตเป็นกิจวัตร ดังนั้น มันจะยากสำหรับบีมในการให้ข้อมูลที่เป็น Feedback จากลูกค้าท่านนั้น ๆ โดยตรงผ่านทางเว็บบอร์ดร้าน แล้วถ้าบีมประมวลมาเขียนเอง ก็จะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือใช่มั้ยคะ ^^ นั่นถือเป็นข้อจำกัดที่บีมต้องเจอค่ะ แต่ไม่ซีเรียส เพราะไม่ว่ายังไงบีมก็ใช้เองอยู่แล้วด้วย ลูกค้าประจำก็ใ้ช้เรื่อย ๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องของ ความคิดและความเชื่อของผู้สนใจรายใหม่ ๆ ที่มีต่อบีมและผลิตภัณฑ์ของบีมค่ะ บีมไม่ซีเรียสตรงนี้จริง ๆ เพราะบีมบังคับไม่ได้ :))

เอาเป็นว่า บีมเข้าใจลูกค้าและผู้สนใจทุกคนเสมอนะคะ ไม่ว่าคุณจะมองบีมและผลิตภัณฑ์ของบีม บวก ลบ อะไรยังไง จะมองเหมือนยี่ห้ออื่น จะดีกว่า ด้อยกว่าอย่างไร มันก็จะเป็นของมันอยู่แบบนี้ค่ะ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองค่ะ :)) บีมก็มีหน้าที่ให้ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจและคอยช่วยเหลือดูแลเมื่อเวลาที่ทุกคนมีปัญหาหลังใช้ผลิตภัณฑ์

Wednesday, June 16, 2010

อัพเดทผลการรักษาสิวโหนกแก้มด้วยผลิตภัณฑ์ MerryBeam

น่าภูมิใจค่ะ ผลลัพธ์เริ่มเผยแล้ว ^^

หลังจากที่ช่วงแรก ไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า รู้แต่ว่า Nano Treatment Serum ช่วยเรื่องสิวได้ และบีมคิดว่าอะไรใส่ผิวแล้วยิบ ๆ สิวก็น่าจะช่วยฆ่าเชื้อได้นะ ก็ทดลองใส่เรื่อยมาค่ะ

นับมาก็เป็นเวลาสัปดาห์กว่า ๆ บีมเริ่มพอกมาส์กสาหร่ายฯตั้งแต่ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม เพราะดันไปแพ้ผงสมุนไพรมา ทำวันแรก ออกมาหน้าสว่างใส สะอาดดี โอเคเลย

เห็นว่า วันทั้งวันของวันที่สอง ผิวก็ไม่ได้เ็ป็นอะไร เลยพอกต่อ

วันที่สองก็ให้ผลลัพธ์สะอาดใสเหมือนเดิม เช้ามาหน้าก็ดีขึ้น

วันทั้งวัน ผิวก็ไม่ระคายเคืองอะไร

เลยใช้ต่อเนื่องไปเลย 5 คืนค่ะ

สิวลดลงจริง ๆ หน้าใสสว่างขึ้นอย่างแข็งแรง เพราะเจอแดดก็ไม่สะทกสะท้านเลยค่ะ แม้ไม่ทากันแดด (ทำงานอยู่บ้าน ทามั่งไม่ทามั่งค่ะ และอยากให้สิวลดเร็ว ๆ เลยไม่ค่อยทา จะทาก็ตอนที่ทดลองกันแดดตัวใหม่ที่มาถึงมือนี่แหละค่ะ ^^)

จากนั้น มาต่อด้วย Nano Treatment Serum วันแรก ๆ เหมือนไขมันผุดขึ้นเยอะแยะ เอ...มันจะดีมั้ยหว่า ก็ยังคิดในใจ แต่คิดว่า มันดีแน่ เพราะเคยอ่านบทความมาหลายอันว่า การบำรุงจะได้ผลดี มันต้องมีขั้นตอนผลัดผิวหรือเอาเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วออกก่อน

เจ้า Nano Treatment Serum ก็ช่วยเรื่องนี้แหละ แถมยังช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนด้วยค่ะ ส่วนผสมดีมาก ๆ เล็กพริกขี้หนู อัดแน่น ๆ

ตอนแรก ๆ ไม่กล้าใช้ทุกวันค่ะ แต่มาส์กนี่มั่นใจละว่าใช้ได้ทุกวันแน่นอน เพราะหน้าไม่กร้านหรืออะไรเลย ไม่แพ้ ไม่แสบ ไม่แดง ไม่ทั้งสิ้น แถมหน้ามันลดลงอีก เยี่ยม

แต่ด้วยความสงสัย ประกอบกับว่า อยากให้สิวโหนกแก้มที่น่ารำคาญยุบไปเสียที ก็จัดการทาเฉพาะบริเวณโหนกแก้มและลงมาแก้มด้านในวันเว้นวัน ล้างออกแล้วโปะด้วยมาส์กสาหร่าย ล้างออก

บางคืนก็ขี้เกียจลงมาส์ก พอหลังจากลง Nano Treatment Serum ล้างออก แล้วก็จะลงน้ำแข็ง ลูบตามแนวโพรงขน เสร็จแ้ล้วก็ลง botox & whitening serum ในชุด Advanced Botox ค่ะ ซึ่งบีมใช้ตัวตลับที่ทากลางคืนไม่ได้เพราะตัวยาผลัดผิวอาจจะกระทบต่อน้องได้ ก็ไม่ใช้ค่ะ

ดังนั้น ตัวที่ใช้ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ก็จะมี
  • มาส์กสาหร่ายคลายพิษ (ตัวเอกตัวแรกเลย ลดสิว & หน้าขาวสว่างใส)
  • Nano Treatment Serum (ตัวเอกในการกำจัดสิวเรื้อรังที่โหนกแก้ม ทั้งอุดตัน และอักเสบ สามารถทาได้ทุกวันนะคะ อาจจะเน้นย้ำบริเวณที่ต้องการให้หายเป็นพิเศษทุกวันได้เลย แต่ห้ามลืมลงมาส์กหรืออาหารผิวตามนะคะ)
  • Botox & Whitening Serum ในชุด Advanced Botox
  • กันแดด BB สำหรับผิวสีเข้ม
  • กันแดดเนื้อเบาไม่ปกปิด Nano Sunscreen SPF 60
  • ปัถวีบ้างนิดหน่อย สำหรับแต้มสิวอักเสบ และมีัตัวยาวิตซีสำหรับแต้มสิวเพิ่มเติม
  • แป้งฝุ่น
  • การล้างหน้าทุกเย็นจะใช้ ลอรีอัลสูตรน้ำนม เจลล้างหน้าน้ำแร่ผสมทองคำในชุด Advanced Botox และ น้ำเกลือ Klean & Kare ทุกวันค่ะ ตามแนวโพรงขน สำคัญมากๆ
  • สำลีแผ่นรีดขอบตรารถพยาบาล (ต้องบอกมั้ยนี่ ^^)
ยาไม่ได้ใช้เลยค่ะ ก็ใ้ช้เท่านี้เอง
คอลลาเจนซีก็ทานไม่ได้

แต่คิดว่าสงสัย Nutrilite Protein จะเข้ามาเสริมกำลังด้วยอีกทาง กินให้ลูก แต่รู้สึกว่าคุณแม่ก็ได้รับอานิสงค์ด้านภูมิต้านทานผิวไปด้วย

แต่ต้องบอกกันนะคะว่า การดูแลผิวเป็นสิว ต้องทำทุกอย่างควบคู่กัน

ทั้งภายนอกและภายใน

แต่ก่อนตอนทำ Amway บีมก็ทานนิวทริไลท์นะ ถามว่า ผิวดีมั้ย ดีนะคะ เีนียนดี แต่ว่าสิวไม่ลงน้า เพราะเราไม่ดูแลส่วนอื่นค่ะ ลำไส้ การพักผ่อน ฯลฯ และเครื่องสำอางไม่ถูกกับหน้าด้วย คือ ไม่ทราบวิธีการที่ถูกต้องในการดูแลภายในและภายนอก

คือ ไม่ว่าคุณจะกินอะไร ใช้ผลิตภัณฑ์อะไร ก็ขอให้ทำแบบองค์รวม ควบคู่ ๆ กันไปนะคะ จะดีที่สุดเลยค่ะ ^^ อาจจะไม่ได้เต็มร้อย แต่หัวใจของมันอยู่ที่ความสม่ำเสมอค่ะ แล้วมันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง ^^

Confirm จ้า

Friday, June 4, 2010

แนะนำการเลือกใช้สำหรับสภาพผิวที่แตกต่างกัน

เนื่องจากผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกันเป็นพื้นฐานก่อนที่จะมาใช้เครื่องสำอาง MerryBeam

ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องทราบว่า คุณควรจะทำอะไรกับผิวก่อนหลัง เป็นลำดับ ๆ ไป เพื่อให้การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์นั้นเห็นผลและคุ้มค่ามากที่สุด

1. ผิวผ่านสมรภูมิสารเคมีและยารักษาสิว

ลักษณะของผิว

ผิวประเภทนี้จะมีความอ่อนแอมากถึงมากที่สุด คำว่า "สมรภูมิสารเคมี" หมายถึง การผ่านการใช้ครีมราคาถูก ครีมตลาดล่าง ที่มักลดต้นทุนแต่ต้องการให้เห็นผลเร็ว จึงใส่สารไฮโดรควิโนน ปรอท หรือกรดวิตามินเอ การลอกหน้า (peeling) จากผู้ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือได้รับใบอนุญาต การใช้ครีมที่ตัวเองแพ้ แต่ไม่รู้ตัว และใช้ต่อไปเรื่อย ๆ จนผดผื่นขึ้นเต็มหน้า และในที่สุดจะเป็นอุดตันและอักเสบค่ะ

บางรายที่รักษาสิว และอาจพบว่ามีอาการหน้าติดยารักษาสิว การใช้ยา BP นาน ๆ โดยขาดการบำรุงอย่างถูกต้อง ก็ทำให้ผิวถูกทำร้าย หยาบร้าน อ่อนแอลง ติดเชื้อง่าย ทำให้เมื่อไม่ได้ใช้ยาแล้ว โอกาสที่สิวผด และสิวประเภทอื่น ๆ ขึ้นมาอีกนั้นเป็นไปได้ (เพราะใน BP นั้นจะมีสารฟอกขาว (Bleaching) ที่กัดสีเสื้อผ้าให้ขาวได้ สารนี้ทำให้ผิวแห้งลง และผิวชั้นนอนหลุดลอกออก จึงทำให้สิวแห้ง และทำให้หัวสิวอุดตันเปิดอยู่เสมอ แต่ก็ทำร้ายผิวด้วยเช่นกัน)

วิธีการบำรุง
  • ให้เริ่มจากการล้างสารพิษในผิวด้วย "มาส์กสาหร่ายคลายพิษ" เป็นประจำทุกวัน จนกว่าอาการผิวบาง แพ้ แสบ แดง จะดีขึ้น จะสังเกตได้ว่า อุณหภูมิของผิวจะลดลง อาการคันยุบยิบในผิว และสิวผดจะลดปริมาณลงอย่างเห็นได้ชัด สิวอักเสบหัวจะออกเร็วขึ้น
  • งดเครื่องสำอางทุกตัวที่ใช้อยู่อย่างเด็ดขาด ใช้เฉพาะเจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยนเท่านั้น ไม่ต้องผสมสาร เช่น สารทำให้หน้าขาว บีดส์ ใด ๆ ทั้งสิ้น
  • เมื่อผิวเริ่มมีสุขภาพดีขึ้น ให้ลง Treatment Serum เพื่อรักษาสิว ริ้วรอย จุดด่างดำ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แล้วตามด้วยมาส์กสาหร่ายดังกล่าว
  • เมื่อสุขภาพผิวดีขึ้นแล้ว ค่อยพิจารณาใช้บำรุงตัวอื่นตามสภาพผิวหน้าและความต้องการต่อไปค่ะ
  • ระหว่างที่ฟื้นฟูสภาพผิวนี้ มาส์กและ Treatment Serum ควรแช่เย็น และควรล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเป็นประจำ เพื่อทำให้ผิวคืนสภาพเร็วขึ้น
  • ควรทาน Dtox1 และ Collagen+C ควบคู่ไปด้วยเพื่อขับล้างสารพิษสะสมในลำไส้ เลือดและเซลล์ พร้อมช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟู และซ่อมแซมผิวให้เร็วขึ้นค่ะ
ระยะเวลาการฟื้นฟู
ประมาณ 2 สัปดาห์ - 1.5 เดือน (ขึ้นอยู่กับระดับความอ่อนแอของผิวและสารพิษสะสมค่ะ)

2. ผิวมีฝ้ากระ หรือจุดด่างดำ สีผิวไม่สม่ำเสมอ

ลักษณะผิว
ผิวประเภทนี้จะมีการทำงานของเม็ดสีที่ผิดปกติ ส่วนมากเกิดจากการสัมผัสความร้อน แสงแดด หรือแม้แต่ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

สำหรับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงนั้น จะมี 2 ลักษณะคือ
1. ผู้หญิงตั้งครรภ์
2. ผู้หญิงเลือดลมไม่ดี หรือมีปัญหาบริเวณรังไข่ หรือเกี่ยวกับรังไข่

ซึ่งถ้าหากสาเหตุเกิดจากการที่คุณสัมผัสกับแสงแดด หรือความร้อนโดยไม่มีการทาครีมกันแดดป้องกัน และไม่มีการบำรุงที่เหมาะสม จะทำให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ หรือมีสีผิวไม่สม่ำเสมอค่ะ

สาเหตุนี้สามารถแก้ได้โดย ใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมประเภทผลัดเซลล์ผิวและยับยั้งการทำงานของเม็ดสี โดยส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening ของเรา ที่มักต้องใช้เฉพาะกลางคืนเท่านั้น เช่น
ซึ่งก่อนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ควรทารองพื้นเป็นอาหารผิวตัวนี้ค่ะ จะช่วยลดอาการระคายเคืองที่อาจเกิดระหว่างวันจากการทำงานผลัดเซลล์ผิว


อาหารผิวต้านการระคายเคืองทุกรูปแบบ

นอกจากนี้ หากใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มผลัดเซลล์ผิวและลดการทำงานของเม็ดสีดังกล่าว จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ควบคู่ไปอีก 2 ตัวคือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและกันแดดค่ะ

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ควรจะเลือกตามระดับความเข้มข้นของตัวยาที่ใช้ในการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งตรงนี้สามารถสอบถามบีมได้อีกครั้งค่ะ

ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวคือ
มันจะมีบำรุงเนื้อหนัก ซึ่งควรใช้เฉพาะกลางคืนเท่านั้น เพราะมีอาหารผิวบรรจุมาก เช่น Super Nourishing Serum หรือ Collagen สดค่ะ ซึ่งถ้าคนหน้ามันใช้ตอนเช้าด้วย จะยิ่งหน้ามันเลย เป็นผลเสียค่ะ ใช้กลางคืนดีกว่า

ส่วนบำรุงเนื้อเบาที่เหมาะจะใช้บำรุงตอนเช้า และก่อนนอนได้คือ VitC-Gluta Serum ค่ะ และในรายที่หน้าแห้ง สามารถใช้ Collagen สด หรือเซรั่มคาร์เวียบำรุงตอนเช้าก่อนแต่งหน้าทาแป้งได้ค่ะ ^^

สำหรับกันแดด เรามีข้อแนะนำดังนี้ค่ะ

1. ผิวเป็นสิว สามารถใช้
  • MerryBeam BB Solution (Base Version SPF 80 Nano) (แบบปกปิด)
  • Milky Nano White Sunscreen SPF60 (แบบไม่ปกปิด)
  • โดยปกติ ผิวเป็นสิวหรืออยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพ ยังไม่จำเป็นต้องทากันแดด ให้หลบแดดเอาค่ะ แต่ถ้าต้องแต่งหน้า ให้เลือกกันแดดตามที่แนะนำค่ะ
2. ผิวไม่เป็นสิว แต่เป็นฝ้า กระ รอยสิว

ถ้าหากเป็นฝ้า กระ หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอจากฮอร์โมน หากเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรทำอะไรค่ะ แต่ถ้าหากไม่ได้ตั้งครรภ์แล้วมีปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องออกกำลังกายมากขึ้นเพื่อให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ปรับพฤติกรรมสุขภาพ และอาจทานยาบำรุงสำหรับสตรีโดยเฉพาะค่ะ (แนะนำยาสตรีหมอเส็ง ที่บีมไม่ได้มีเอี่ยวอะไรด้วยเลยนะคะ เคยทาน และคนในบ้านทานแล้วมันดีมากจริง ๆ ทั้งผิว ทั้งระบบภายใน จึงขอแนะนำค่ะ)

ข้อมูลที่แบ่งปันกันได้มาจากประสบการณ์การใช้ผลิตภัณฑ์และข้อมูลที่ได้รับฟัง ได้อ่านเพิ่มเติมด้วยค่ะ

หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ ผิวของคุณเอง และการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเบื้องต้นได้นะคะ

หากมีข้อสงสัยใด ๆ สอบถามได้เสมอค่ะ rinyabhatr@gmail.com หรือ Facebook หรือ เว็บบอร์ด หรือ 080 499 8105 ค่ะ

ขอให้มีวันเสาร์ที่สนุกนะคะ ^^

Tuesday, June 1, 2010

ประสบการณ์ลูกค้าในการใช้ Dtox1

ขอเพิ่มเติมอีกเรื่องก่อนที่จะลืมนะคะ

จริง ๆ แล้วมีเคสที่น่ายินดีหลายเคส นอกจากเคสของน้องและแม่บีมแล้ว บีมยังรู้สึกว่าอยากจะเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับลูกค้าอีกท่านหนึ่งค่ะ

ลูกค้าท่านนี้ ได้เริ่มจากการติดตามอ่านบล็อก "ปฏิวัติความคิดพิชิตสิว" มาก่อน และก็ได้มีการปรึกษา พูดคุยกันเรื่อยมา

เธอมีปัญหาสิวค่ะ เป็นสิวเรื้อรังมาตั้งแต่อายุประมาณ 19 แล้วล่ะ ตอนนี้เธอประมาณ 30 ได้ค่ะ

ที่บีมประทับใจเกี่ยวกับเธอคนนี้เพราะเธอจริงใจค่ะ และก็มีความพยายามอย่างมากที่จะดูแลสุขภาพ ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้

เธอก็จะโทรมาคุยเล่นบ้าง อัพเดทอาการบ้าง สอบถามเรื่องผลิตภัณฑ์บ้าง อะไรบ้าง

ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่เธอสั่งไปทดลองคือ Dtox1 ค่ะ

ล่าสุดนี้ เธอได้มาเล่าให้ฟังค่ะว่า เธอประทับใจผลิตภัณฑ์ตัวนี้ดังนี้ค่ะ
  • เธอทานไฟเบอร์มาหลายยี่ห้อ (เธอดูแลสุขภาพมานานแล้วค่ะ) แต่ตัวนี้ทำให้เธอสามารถถ่ายได้ทุกเช้า และตรงเวลาที่ควรถ่ายของเสียคือ ช่วง ตี 5- 7โมง ค่ะ ซึ่ง ณ จุดนี้ ในฐานะคนดูแลสุขภาพ เธอรู้สึกดีใจมากที่สามารถขับถ่ายของเสียได้ ณ เวลานี้ทุกวัน และถ่ายได้หมด
  • เธอมีปัญหาท้องผูกค่ะ พอทานตัวนี้ก็ถ่ายได้หมด ถ่ายทุกวัน และล่าสุดตอนที่ของหมด และของที่สั่งใหม่ยังไปไม่ถึง (เพราะเธออยู่มาเลเซียค่ะ) เธอก็สามารถถ่ายได้เอง โดยทำการปรับอาหารอะไรต่าง ๆ และเห็นว่าเธอไปเล่นโยคะด้วยค่ะ ซึ่งเธอก็ดีใจมากที่หยุดผลิตภัณฑ์แล้วก็สามารถถ่ายได้เองแล้ว
นี่เป็นสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่มีปัญหาท้องผูกค่ะ

บีมเองไม่เคยท้องผูก แต่ว่าลองคิดเปรียบเทียบเอาค่ะ บางทีเราต้องไปทำบุญตอนเช้าบ้าง เข้าห้องน้ำไม่ทันบ้าง ถ้าทั้งวันมันค้างแบบนั้น มันจะอึดอัดไม่สบายตัวไปตลอดเลย เพลียด้วย นี่แค่วันเดียวนะคะ

ถ้าคนเป็นหลายวัน เป็นสัปดาห์ มันจะขนาดไหน...

บีมก็เลยดีใจไปกับเธอด้วยมาก ๆ ค่ะ

ก็เลยขอนำมาแชร์กัน ว่า Dtox1 ทานแล้วไม่ทำให้ลำไส้ติดยาจริง ๆ ค่ะ (บีมเองก็พิสูจน์มาแล้ว ก็เป็นเช่นนั้นล่ะค่ะ)

ทำไม Dtox และ Collagen+C จึงช่วยเรื่องสิวได้?

ส่วนของ Dtox นี่จะเป็นตัวขับล้างสารพิษในลำไส้ ช่วยในการขับถ่ายได้อย่างหมดจด

เพราะในปัจจุบัน อาหารที่เราทานส่วนใหญ่มีเส้นใยอาหารน้อยมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวขัดสี (ข้าวขาว) ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว ลูกชิ้น กล้วยทอด หมูปิ้ง ข้าวเหนียว ฯลฯ

พอเส้นใยอาหารน้อย การขับถ่ายก็ยากและน้อย ทำให้อาหารเก่า ๆ ที่คั่งค้างในลำไส้ตกค้างและบูดเน่าอยู่ในนั้น เชื้อโรคเริงร่าและอาหารของเชื้อโรคก็เต็มเลย

หลังจากนั้น พอไม่ถ่าย ร่างกายไม่ได้ไหลเวียนทางเดียวค่ะ ของเสียอยู่ตรงไหน มันกระจายไปที่อื่นได้หมด

เหมือนคนเป็นมะเร็งลำไส้ แล้วอาจจะลามไปไขสันหลังได้ประมาณนี้

บางคนแม้จะถ่ายทุกวัน ก็ถ่ายไม่สุด มันจะอึดอัด ๆ

ถ้าคนถ่ายสุด มันจะโล่ง โปร่ง สบาย เบาหัว เบาตัวอย่างบอกไม่ถูก

การทาน Dtox จึงช่วยเอาอาหารเชื้อโรคออกไป ทำให้เชื้อไม่ดีค่อย ๆ ตายลง ๆ เพราะขาดอาหาร ของสกปรกในลำไส้ก็ถูกกำจัดออกไป เลือดลมจึงสะอาดมากขึ้นค่ะ ตับไม่ต้องทำงานหนักกรองของเสีย กรองเชื้อโรคเหมือนแต่ก่อน ส่งผลดีต่อร่างกายทั้งระบบ และผิวพรรณ

ส่วน Collagen+C นั้น เป็นอาหารเสริมสูตรพิเศษแบบ 3 in 1 คือ
  • ล้างพิษในเซลล์และเลือดด้วยสารสกัดจากสาหร่ายออร์แกนิค
  • ต้านการอักเสบของเซลล์ด้วย Omega 3
  • ซ่อมแซมและฟื้นบำรุงเซลล์ด้วยส่วนผสมประเภท DNA และอะมิโนของโปรตีน
ดังนั้น นอกจากเซลล์และเลือดจะสะอาดขึ้นแล้ว ยังมีสารต้านการอักเสบที่เราอาจจะได้รับจากอนุมูลอิสระจากสิ่งแวดล้อม อาหารและน้ำที่เราได้รับ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินซีที่ช่วยในการ recycle สารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ในร่างกายให้กลับมาทำงานได้ใหม่ พร้อมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระไปในตัว

จึงช่วยลดการติดเชื้อ การอักเสบของผิว และช่วยบำรุงผิวให้ดีทั้งร่างกาย

การทำงานผสานกันระหว่าง 2 ผลิตภัณฑ์นี้จึงได้ผลดีสำหรับทุกคนที่ต้องการให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้ในวิถีชีวิตที่เร่งรีบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Dtox ช่วยลดของเสียหมักหมมอันเป็นอาหารของเชื้อโรคในลำไส้ที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ รวมทั้งผิวพรรณที่ไม่ผ่องใสตามมา

Collagen+C ช่วยล้างพิษในเลือดพร้อมกระตุ้นให้เซลล์มีการทำงานเพื่อสร้างเซลล์ใหม่มากขึ้น พร้อมปกป้องเซลล์ให้ปลอดภัยจากอนุมูลอิสระและการอักเสบอีกด้วยค่ะ

หากต้องการทานคู่กัน ให้ทาน Collagen+C 2 แคปซูลในตอนเช้า ตามด้วยน้ำ 2 แก้ว (ตื่นมาแล้วทานเลย) และ Dtox 1-2 แคปซูลก่อนนอน ตามด้วยน้ำ 1-2 แก้วเช่นกันค่ะ

คำถามที่ถามบ่อย: Dtox แคปซูลขับล้างสารพิษในลำไส้

ถาม ทำไมจึงต้องทาน DTOX
ตอบ เพราะคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคเรื้อรัง หากสืบสาวไปแล้ว เกิดจากอาการพิษคั่งค้างในร่างกาย จุดที่สำคัญและเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและพิษที่ใหญ่ที่สุดคือลำไส้ใหญ่

DTOX ตัวนี้ทำมาจากสมุนไพรไทย 100% ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยขับพิษของร่างกาย โดยเน้นไปที่การขับออกทางลำไส้ใหญ่ที่เป็นอวัยวะที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ มากที่สุด หากมีภาวะสกปรก เสียสมดุล ทำให้ไม่สามารถขับถ่ายของเสียประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดเป็นของตกค้าง เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และพิษต่าง ๆ ถ้าไม่เอาออก พิษและเชื้อโรคเหล่าจะเติบโตในลำไส้ใหญ่ สร้างอาณาจักร ถูกดูดซึมกลับสู่กระแสเลือดตลอดเวลา ทำให้สุขภาพเสื่อมถอย ภูมิคุ้มกันลดลง ส่งผลต่อคุณภาพเลือดและผิวพรรณโดยตรง


ถาม
DTOX ตัวนี้ดีอย่างไร แตกต่างจากตัวอื่นในตลาดอย่างไร

ตอบ

* DTOX แต่ละแคปซูลไม่มีสารอันตรายใด ๆ และไม่ทำให้ลำไส้ติดยา เหมือนยาระบายบางยี่ห้อ
* ตัวแคปซูลทำจากข้าวเหนียว ไม่เป็นพิษต่อตับ สลายได้ตามธรรมชาติ
* ได้ ผลเรื่องการขับถ่ายและขับพิษ 100% แต่ในรายที่มีปัญหาท้องผูกมาก หรือมีปัญหาลำไส้มาก หรือทานของเมือก ๆ มัน ๆ มาก อาจใช้เวลา 2-3 วันหลังจากทานคืนแรกก่อนจะขับถ่ายตามปรกติ


ถาม
ส่วนผสมมีอะไรบ้าง
ตอบ
ใบมะขามแขก ดอกคำฝอย พริกไทยดำ ส้มแขก ตะบองเพชร มะขามป้อม และตัวยาอื่น ๆ (ที่ไม่ใช่สารอันตรายค่ะ เพราะผ่านการรับรองจาก อย. เรียบร้อยแล้วค่ะ)


ถาม
ต้องทานตลอดไปมั้ย
ตอบ
ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณค่ะ และดูความสามารถในการกำจัดพิษของร่างกายเป็นหลัก ถ้าหากร่างกายอยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ อาหารสะอาด ไม่ทานเนื้อสัตว์เลย คุณอาจจะไม่ต้องการตัวนี้อีกต่อไปเลยก็ได้ค่ะ หรืออาจจะใช้นาน ๆ ครั้งเมื่อต้องการล้างพิษให้หมดจดสักครั้งหนึ่ง

หรือถ้าคุณเปลี่ยนไปใช้วิธีสวนลำไส้ด้วยกาแฟ แล้วชอบแบบนั้น คุณก็ไม่จำเป็นต้องทานตัวนี้ค่ะ

อาการของคนที่มีของเสียสะสม คือ ป่วยออดแอด ๆ ปวดท้อง ปวดหัว ปวดขา ปวดข้อ รู้สึกตัวเองป่วยและเพลียทุกวัน

ถ้าถาม ว่าจาก 100 คนกลุ่มนี้จะให้คะแนนความสดชื่นตัวเองทั้งวันอยู่ที่แค่ 50-70% เท่านั้น

มีกลิ่นตัวแรง กลิ่นปากแรง ลมหายใจร้อน ร้อนใน ตัวรุม ๆ ตอนบ่ายๆเย็นๆ ตื่นเช้ามาไม่สดชื่น กลางวันหาวนอน กลางคืนตื่นตัว นอนดึกเกินเที่ยงคืน สมองไม่สดชื่น คิดอะไรไม่ค่อยออก หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน

นี่แสดงว่าระบบร่างกาย และ ขับของเสียกำลังมีปัญหา ทำงานไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ DTOX สามารถช่วยให้คุณพ้นวิกฤติร่างกายตรงนี้ไปได้ก่อน และระหว่างทาน DTOX คุณควรจะต้องปรับพฤติกรรม ปรับอาหาร เพื่อฟื้นฟูระบบขับของเสีย และระบบทุกอย่างของร่างกายกลับเข้าสู่สมดุลเหมือนตอนคุณเป็นเด็กวิ่งเล่น ร่าเริงแบบนั้นได้ จึงจะเรียกว่า คุณมีสุขภาพดีจริง ๆ

ซึ่งในช่วงแรก คุณอาจจะต้องทานให้หมดกระปุกก่อน คือใช้เวลาประมาณ 1 เดือน หรือ ให้คุณสังเกตอาการว่า คุณเริ่มสดชื่นขึ้น หงุดหงิดน้อยลง ไม่อึดอัดร่างกาย โดยรวมแล้วคุณรู้สึกดีขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ลมหายใจ ลมต่างๆไม่มีกลิ่นเหม็นแล้ว อุจจาระเริ่มลอยน้ำและมีสีจางลง ไม่เหม็น ไม่ดำเหมือนตอนแรก ๆ เมื่อนั้น คุณก็หยุดทานได้

และค่อยหยิบมาทานอีก เมื่อคุณรู้สึกพิษเริ่มเยอะ ร่างกายกำจัดเองไม่ไหวค่ะ

หรืออาจจะค่อย ๆ เว้นระยะไป เช่น ช่วงแรกทานทุกวัน สัปดาห์ที่ 3 วันเว้นวัน สัปดาห์ที่ 4 2 วันต่อสัปดาห์ และหลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณเองค่ะ ว่าต้องการล้างพิษในแบบไหน ถ้าไม่สะดวกวิธีอื่น การทานแคปซูลนี้ก็สามารถช่วยขับพิษออกจากลำไส้ได้ค่ะ

แต่ถ้าจะให้สะอาดเลย แนะนำสวนล้างด้วยกาแฟหรือมะนาว อาจจะทำลักษณะล้างพิษใหญ่ ส่วนวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ไม่สามารถสวนกาแฟได้ ก็ใช้แคปซูลนี้เป็นตัวช่วยไปก่อนได้ค่ะ จนกว่าคุณจะสามารถหาเวลาที่ลงตัวให้กับชีวิตได้มากขึ้น

ถาม
ทานแล้วจะต่อไปจะถ่ายเองได้มั้ย
ตอบ
ได้แน่นอนค่ะ เพราะไม่ทำให้ลำไส้ติดยา และบีมเองก็ทานอยู่ เคยทดลองหยุด ก็ไม่เป็นอะไร ถ่ายได้ตามปกติ ขึ้นอยู่กับอาหารที่เราทานด้วยว่ามีใยอาหารมากน้อยขนาดไหน Dtox ไม่ได้ทำให้ลำไส้อ่อนแอลงค่ะ ลูกค้าก็มี Feedback แบบนี้เหมือนกัน คือ พักได้ หยุดได้ โดยยังสามารถถ่ายต่อเองได้

ถาม
ทำไมแพงกว่ายี่ห้ออื่น
ตอบ
ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ค่ะ เพราะไม่ทราบว่ายี่ห้ออื่นเป็นอย่างไร ให้คุณพิสูจน์เองดีกว่าค่ะ แต่คงอธิบายได้ตามหลักของต้นทุนกับคุณภาพ เพราะของเรารับรองผล 100% ค่ะ ในด้านการลดปัญหาผิวพรรณ ลดสิว ลดกลิ่นตัว อาการท้องผูก และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบลำไส้ค่ะ


ถาม
ทานอย่างไร
ตอบ
คืนละ 2-4 แคปซูลก่อนนอน ตามด้วยน้ำเปล่าไม่เย็น 1-2 แก้ว (แก้วละประมาณ 250 มิลลิลิตร) หากท้องไม่ผูก ทาน 2 แคปซูล หากท้องผูกและถ่ายยาก เพิ่มเป็น 3-4 แคปซูล แต่ไม่ควรเกินนี้ หากเพิ่มปริมาณแคปซูล ต้องดื่มน้ำตามให้มากขึ้นค่ะ ไม่งั้นถ่ายไม่ออกนะคะ ^^

แต่ถ้าเช้ามา ยังไม่รู้สึกปวดท้อง ให้ดื่มน้ำเป็นประจำทุกวัน 2 แก้ว (น้ำเปล่าไม่เย็น) ทันทีที่ตื่นนอน จะช่วยให้ขับถ่ายได้หมดในตอนเช้าค่ะ

ถาม
ทานแล้วจะเป็นอย่างไร มีผลข้างเคียงอะไรมั้ย
ตอบ
ในช่วงแรก ๆ หากท้องไม่ผูกมาก ลำไส้ไม่มีตะกรันเกาะเหนียวหนืดมาก จะขับถ่ายตั้งแต่เช้าแรกที่ทานค่ะ และของเสียที่ออกมามักจะมีสีดำ มีกลิ่นเหม็น นี่คือตะกรันที่สะสมอยู่ในลำไส้มานาน ซึ่งไม่ต้องกังวล เมื่อทานต่อเนื่องพร้อมกับปรับอาหาร อุจจาระจะค่อย ๆ มีสีจางลงเป็นสีน้ำตาล เริ่มลอยน้ำ และกลิ่นไม่เหม็นค่ะ

ในรายที่มีของเสียในลำไส้สะสมมาก ๆ ในวันแรกที่ทาน อาจจะถ่ายท้องบ่อย แต่ไม่ใช่อาการท้องเสียค่ะ จะปวดท้องเหมือนเข้าห้องน้ำ ไม่ได้ปวดบิด ซึ่งเป็นการทำงานของตัวยาในการพยายามกำจัดของเสียออกให้หมด

จึงแนะนำให้เริ่มทานคืนวันศุกร์ เพราะวันเสาร์คุณอาจจะต้องเข้าห้องน้ำบ่อยหน่อยค่ะ

หรืออาจจะให้วันเสาร์เป็นวันล้างพิษโดยการทาน แต่น้ำผักผลไม้ หรือผลไม้สดก็ได้แค่ และสามารถใช้ร่วมกับการขับล้างสารพิษวิธีอื่น ๆ ได้

ส่วนอาการข้างเคียงอื่น ๆ ไม่มีเลยค่ะ ยกเว้นแต่ว่า ถ้าคุณมีของเสียสะสมมาก ช่วงสัปดาห์แรกอาจจะเข้าห้องน้ำบ่อยหน่อยค่ะ

หรือ ถ้าคุณยังไม่ปรับอาหาร ยังทานของย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ หรืออาหารผัด มัน ทอดมาก ๆ อาหารแปรรูปมาก ๆ ก็อาจจะต้องถ่ายบ่อยแม้จะผ่านการทานไปนานแล้วค่ะ

ขึ้นอยู่กับปริมาณของเสียตกค้างจริง ๆ


ถาม
ทานยารักษาสิวอยู่ ทานตัวนี้ได้มั้ย
ตอบ
ไม่มีปัญหาค่ะ ฤทธิ์ยาไม่ตีกัน


ถาม
แตกต่างกับการทานไฟเบอร์ (ใยอาหาร) และการสวนล้างลำไส้อย่างไร
ตอบ
ตอบง่ายที่สุด คือ ใช้ง่ายกว่า สะดวกกว่า และได้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

เทียบกับไฟเบอร์ คือ ทานง่ายกว่า เพราะไม่ต้องชง ไม่ต้องเช็ค และบางท่านยังไม่สามารถทานไฟเบอร์ได้เพราะพะอืดพะอมค่ะ กลืนยาก เพราะพอละลายกับน้ำหรือนมแล้วมันจะพองตัวขึ้น

เทียบกับการสวนล้างลำไส้ อันนั้นจะเน้นไปที่การกำจัดสารพิษในตับค่ะ แต่ต้องอาศัยความกล้านิดหน่อยสำหรับการทำครั้งแรก และต้องจัดเตรียมสิ่งของ เช่น การต้มกาแฟ และรอให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ เป็นต้น



หวังว่าจะตอบคำถามที่ค้างคาใจได้นะคะ

สอบถามเพิ่มเติมได้นะคะ

ขอให้สุขภาพดีกัน ถ้วนหน้าค่ะ