บีมชอบคำว่า "ยั่งยืน" และชอบใช้คำนี้ และคำ ๆ นี้ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในปรัชญาการดำรงชีวิตของบีมไปแล้วค่ะ ในทุก ๆ เรื่อง
คำว่ายั่งยืน ไม่ว่าคนอื่นจะแปลความหมายว่าอย่างไร แต่สำหรับบีมแล้ว คำว่ายั่งยืนหมายถึง ความต่อเนื่อง ความสมดุล ความพอเหมาะ ความพอดี และพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ฝืนธรรมชาติ
ยกตัวอย่างคำว่า ยั่งยืน ในบริบทอื่น เช่น การเรียนหนังสือ
บีมเคยมีวิถีชีวิตแบบ "ไม่ยั่งยืน" มาก่อน รวมทั้งการเรียนหนังสือค่ะ
จำได้ว่า ตอนเรียนนั้น บีมไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่นสักเท่าไหร่ค่ะ เรียนอย่างเดียว เราจะรู้สึกแปลกแยก และเหงา ๆ มีเพื่อนแต่เหมือนไม่มีนะคะ ทั้งที่เพื่อน ๆ ก็แสนดีกับเรา แต่เราเป็นคนชอบขังตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัว
คิดอยู่แต่ว่า จะเรียนให้ชนะคนอื่นต้องทำยังไง
กลับมาตอนเย็น ก็ไม่ไปเล่นที่ไหนนะคะ นั่งอ่านหนังสือตั้งแต่ 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืนทุกวัน ชีวิตแบบนี้เริ่มตอน ม.5 มั้งคะ บางวันก็ถึงตี 2
คือ มีแต่เรียนกับเรียน
ในที่สุด ก็ประสบความสำเร็จในการเรียน แต่อย่างอื่นในชีวิต คือ
- ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัว (ติดลบอย่างแรง)
- สุขภาพ (ภูมิแพ้หนักขึ้นเรื่อย ๆ ปัญหากระเพาะ-ลำไส้ที่หนักขึ้น ความเครียด)
- ผิวพรรณ (ไม่มีเค้าผิวเด็กอายุวัยทีนเลย ถ้าไม่หาหมอหน้าจะโทรมมาก ๆ)
- การมองโลก (ติดลบมาก)
- ฯลฯ
ชีวิตแบบนี้ จึงเรียกว่า ไม่สมดุล ไม่พอเหมาะ ไม่พอดี จึงไม่ยั่งยืน เราจึงดำเนินชีวิตแบบนั้นต่อไปไม่ได้
เมื่อมาพูดเรื่องสิว ฝ้า และผิวพรรณ วิถีทางที่ยั่งยืน หรือ สายกลางนั้น มันมีอยู่เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิต
มันจะมีทางหนึ่งที่สมดุลและเราสามารถดำเนินวิถีทางนั้นต่อไปได้โดยที่ เราพอใจ เราสุขใจ และผลลัพธ์ก็ออกมาน่าพอใจอยู่เสมอ ๆ
ที่ผ่านมา บีมเคยหาหมอใช่มั้ยคะ บีมไม่โจมตีนะคะว่าการไปรักษาที่คลินิกนั้นไม่ดี เพียงแต่ว่า สิ่งที่บีมได้รับมันไม่น่าพอใจสำหรับบีมเท่านั้นเองค่ะ เพราะบีมไม่ชอบทายารักษาสิว กลิ่นมันเหม็นและทำให้หน้าที่แม้จะเรียบแต่รูขุมขนจะกว้างและมันเร็วมาก จะเลิกยาก็ไม่ได้ จะใช้เครื่องสำอางอื่นบำรุงก็กลัวว่าสิวจะขึ้นอีก ตากแดดก็ดำเร็ว กินยาก็มีปัญหากระเพาะลำไส้ ปัญหาตาแห้ง ภูมิแพ้ขึ้น ผมร่วง ไขมันในเลือดสูง บีมไม่ชอบน่ะค่ะ ก็ไม่อยากกลับไป อยากจะหลุดออกมา แต่ถ้าใครเจอคลินิกที่ดี เจอหนทางที่ตัวเองพอใจ ก็ดีแล้วค่ะ อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและทัศนคติของแต่ละคน แต่ขอให้เข้าใจค่ะว่า บีมไม่มีเจตนาโจมตีคลินิกต่าง ๆ ค่ะ มันเป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวที่บีมไม่ชอบไปหาหมอ
สมัยนี้ก็มีคลินิกขึ้นมามากมาย วิธีรักษาก็มากมาย เลเซอร์เอย อะไรเอย ที่บีมยังไม่เคยลองก็มีมาก แต่ก็คิดว่าตอนนี้เราไม่ต้องไปทำอะไรแบบนั้นแล้ว บีมพอใจผิวที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ของบีมแล้ว ก็รอดูหลังจากคลอดน้องว่า ผิวของเราจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ฮอร์โมนสูงและความเปลี่ยนแปลงก็สูงค่ะ จึงกำหนดควบคุมอะไรไม่ได้ และบีมก็ไม่อดอาหาร คือ กินปกติไปเลย เพราะกลัวลูกจะได้รับสารอาหารไม่ครบ ซึ่งผิวหน้าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็พอใจแล้วค่ะ ก็ประคองกันไปแบบนี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่
จากความรู้สึกที่ว่า ผลลัพธ์จากการหาหมอมันไม่ยั่งยืน และมันทำให้เราพึ่งตัวเองไม่ได้สักที และต้องเสียเงินไปเรื่อย ๆ แบบไร้จุดหมาย ประกอบกับสถานการณ์เมื่อปีที่แล้วที่ทำให้บีมต้องอยู่บ้าน และไปหาหมอยาก เดินทางยาก ก็คิดว่าต้องพึ่งตัวเองให้ได้ ต้องรักษาสิวให้หายด้วยตัวเองให้ได้ ก็ค้นพบว่า วิถีที่ยั่งยืนนั้นคืออะไร
เพื่อน ๆที่มีเวลาสามารถอ่านเนื้อหาในบล็อก "ปฏิวัติความคิดพิชิตสิว" ของบีมได้ค่ะ บีมเริ่มเขียนบล็อกเพื่อให้เป็นไดอารี่ของตัวเองในการรักษาสิวตามแนวทางของตัวเองที่ต้องพึ่งธรรมชาติเป็นหลัก และมีความรู้อื่น ๆ ที่บีมได้มาจากการค้นคว้าแล้วนำมาเผยแพร่ให้เพื่อน ๆ อ่านกัน
และต่อมา บีมคิดว่าเนื้อหาในบล็อกค่อนข้างเยอะ หลาย ๆ คนไม่สะดวกอ่านจากอินเตอร์เน็ต บีมจึงทำหนังสือ Acne (First) Aid โดยลงทุนพิมพ์เองและจำหน่ายผ่านบล็อกเท่านั้นค่ะ เป็นการรวบยอดประเด็นสำคัญ ๆ ในบล็อก และเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ปฏิบัติได้เลยหลังจากที่อ่านจบ ที่บีมทำก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้เพื่อน ๆ ที่ต้องการจะเข้าใจแนวทางที่บีมทำแต่ไม่สะดวกอ่านบล็อกค่ะ
ซึ่ง ณ ตอนนี้ มันก็ยังคงมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมายไม่รู้จบ แต่จากประสบการณ์ทดลองของตัวเอง จากของเพื่อน ๆ ที่อัพเดทกันเข้ามา บีมขอบอกว่า การจะมีผิวที่แข็งแรงขึ้นอย่างยั่งยืนได้นั้น โดยสรุปควรจะต้องมีสิ่งต่อไปนี้ค่ะ
- ความอดทนและใจเย็น (ร่างกายไม่ใช่เครื่องจักรค่ะ เป็นชุมชนของเซลล์เป็นพันล้านเซลล์ การปรับจำเป็นต้องอาศัยเวลา เพราะเซลล์ของร่างกายแต่ละส่วนก็จะมีอัตราการเกิด-ตายไม่เท่ากัน และในแต่ละคนก็มีต้นทุนทางกรรมพันธุ์ที่แตกต่างกัน บางคนก็ได้ผลเร็ว บางคนก็ได้ผลช้า)
- ความช่างสังเกตและเป็นนักวิทยาศาสตร์ (จะได้ตรวจสอบ ปรับปรุงวิธีการของตัวเองไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอวิถีที่ตนพอใจและใช้ได้กับตัวเอง)
- ความคิดริเริ่ม (เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง เพราะสภาพร่างกายและผิวแต่ละคนแตกต่างกัน)
แต่ก็มีหลายท่าน ที่เคยโทรเข้ามาปรึกษา ซึ่งแต่ก่อน ผิวไม่เป็นอะไรเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไป หรือได้ไปทำอะไรกับผิว ก็ทำให้มีปัญหาในภายหลังได้เช่นกันค่ะ
อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอนค่ะ
แม้คนผิวไม่เป็นอะไร แต่ถ้าสังเกตดี ๆ เค้าอาจจะมีอาการซีด ตาบวมช้ำ หรืออาการผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ ที่เรามองไม่เห็น
ดังนั้น อย่าไปอิจฉาใครเลยนะคะ แต่ละคนก็ล้วนแต่มีปัญหาของตัวเองทั้งนั้น
คนที่อาการแสดงออกมาที่ผิวนั้นได้เปรียบมากกว่าเพราะ จะได้เริ่มปรับตัวตั้งแต่เริ่มแรกของอาการ
บางคนเป็นสิว เพราะ ท้องผูก ถ้าสิวไม่ขึ้น ก็ปล่อยให้ท้องผูกไปเรื่อย ๆ คิดว่าไม่เป็นไร ในที่สุดก็อาจจะมาได้ยินจากปากคุณหมอว่า เป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว
ส่วนคนเป็นสิว ถ้าแก้ที่อาการท้องผูก สิวก็อาจหายไปได้แล้วค่ะ ได้ประโยชน์สองต่อ คือ สิวหาย และ ลำไส้ก็สุขภาพดี
ความยั่งยืนที่บีมหมายถึง ณ ที่นี้ ที่อยากชี้ให้เห็นคือ นอกจากอาหารเสริมและ skin care ที่เพื่อน ๆ อาจจะกำลังตัดสินใจที่จะใช้ แม้มันจะสามารถให้ผลดีตามที่เพื่อน ๆ ต้องการ
แต่บีมไม่อยากให้เพื่อน ๆ ละเลยการดูแลเอาใจใส่ร่างกายทั้งระบบค่ะ เพราะนั่นคือการทำให้ผิวดีอย่างยั่งยืนจริง ๆ
เพราะแม้ในปัจจุบันนี้ บีมจะมาใช้เครื่องสำอาง 100% แต่บีมก็ไม่ละเลยที่จะดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่เกิน 5 ทุ่ม ตื่นก่อน 7 โมงและถ่ายก่อน 7 โมง ทานผักผลไม้อยู่เสมอไม่ปล่อยให้ของเสียคั่งค้าง ระบายความเครียด ทำให้สุขภาพจิตดี อยู่กับธรรมชาติ และไม่ทานแป้งขัดขาวเยอะ ไม่ทานของผัด มัน ทอด เยอะ (การทาน 5 หมู่ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกินคาร์โบฯ กับ ไขมัน เยอะขึ้นใช่มั้ยคะ ^^) และบีมก็ยังไม่ทานนมวัวอยู่ดี ทานนมถั่วเหลืองและโปรตีนจากแหล่งอื่นแทนค่ะ
ถ้าเพื่อน ๆ จะถามว่า ต้องกินอาหารเสริมนี้ไปนานเท่าไหร่ บีมก็ขอตอบว่า จนกว่าเพื่อน ๆ จะสามารถปรับระบบร่างกายให้สมดุลได้ ให้ระบบภูมิคุ้มกันเค้าทำงานเองได้ และวิธีต่าง ๆ หรือแนวคิดบีมก็เขียนไว้ใน "ปฏิวัติความคิด พิชิตสิว" แล้วค่ะ
แต่ถ้าเพื่อน ๆ ยุ่งมาก ๆ ชีวิตไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลตัวเอง ขอให้ทำได้สัก 30-50% จากบล็อกก็พอค่ะ
โดยประเด็นสำคัญที่อยากให้ทำจนติดเป็นนิสัยคือ
- นอนก่อน 5 ทุ่ม (เพื่อให้ตับแข็งแรง เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ภูมิคุ้มกันแข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดอาการติดเชื้อ อักเสบ หน้ามันในระยะยาวค่ะ)
- ถ่ายให้สุดก่อน 7 โมงเช้า
- ทานอาหารเช้าทุกวันให้อิ่ม (อาหารจริง ๆนะคะ ส่วนกาแฟ ยกไปเวลาอื่นเถอะค่ะ อย่าดื่มตอนเช้าเลย) อาหารเช้าสำคัญที่สุด และพยายามทานสิ่งที่มีประโยชน์ให้มากที่สุด
- มื้อว่างเปลี่ยนจากขนมนมเนยที่มีไขมันและน้ำตาลสูงเป็นผลไม้สดที่ไม่หวานและมีไฟเบอร์เยอะ ๆ แทน หรือทานธัญพืชที่มีเส้นใยสูงค่ะ
- ถ้าไม่สามารถทานผักสดได้วันละอย่างน้อย 1 มื้อ ควรทานอาหารเสริมที่เป็นไฟโตนิวเทรียนส์และวิตามินรวมหรือวิตามินบีรวมด้วยค่ะ
- ออกกำลังกายให้เลือดลมหมุนเวียนทุกวัน วันละ 15 นาที หรือ 3 ครั้งใน 1 สัปดาห์ ครั้งละ 30 นาทีค่ะ
- ระบายความเครียดให้ได้ทุกวัน โดยการเดินในที่ที่มีอากาศดี ๆ เล่นกับสัตว์เลี้ยง ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ นั่งสมาธิ ทำกิจกรรมสร้างสรรค์กับเพื่อน ๆ (ไม่นินทาว่าร้ายใครนะคะ ^^)
เอาใจช่วยค่ะ
No comments:
Post a Comment